1.ประวัติความเป็นมา นกเลิฟเบิร์ด
ในสมัยแรกเริ่มคือช่วงปี 1840 นกเลิฟเบิร์ดเป็นนกที่มีสายพันธุ์เดียวกับนกแก้ว (Parrot) จึงเรียกว่าเป็น Little Parrot ตามประวัติกล่าวว่าชาวแอฟริกาเป็นผู้นำนกชนิดนี้เข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป และด้วยเอกลักษณ์ของนกชนิดนี้ก็คือ ชอบอยู่เป็นคู่ และจะดูแลกันและกันเป็นอย่างดี จึงได้รับการเรียกขานว่า "Lovebirds" ในที่สุด ต่อมา Lovebirds ก็แพร่ขยายไปในอเมริกาด้วยในศตวรรษที่ 60 เมื่อมีการแพร่ไปมากๆ จึงเกิดการกลายพันธุ์ จากเดิมที่เป็นสายพันธุ์ Parrot ก็มีการเรียกชื่อใหม่ ว่าเป็นสายพันธุ์ Agapornis ต่อมา ในช่วงศตวรรษที่ 80 การเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ได้สีสันใหม่ๆ ที่สวยงามขึ้น และเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ รวมทั้งมีการผสมกับนกสายพันธุ์อื่น ๆ อีกด้วยจนปัจจุบันนกเลิฟเบิร์ด ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงภายในครอบครัว และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
นกเลิฟเบิร์ด เป็นนกแก้วที่ตัวเล็ก มีสายพันธ์ แยกเป็น 9 ชนิด มีถิ่นกำเนิดจากทวีป แอฟริกา เป็นนกที่มีเสน่ห์ ขี้เล่น ะอยู่กันเป็นคู่ มีสีสันมากมาย เริ่มต้นทีแรกเลยจะเป็นสีเขียว แล้วคนนำมาเพาะเลี้ยงแล้วพัฒนาสายพันธ์ ผสมออกมามีสีต่างๆ มากมายจนตอนนี้มีสีม่วงแล้ว อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 15 - 20 ปี ประเทศไทยสามารถเพาะพันธ์นกได้ตลอดทั้งปีทั้งนี้ นกเลิฟเบิร์ด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แบบไม่มีขอบตา(Peachface Lovebirds) และมีขอบตา (Fischer Lovebirds) นกเลิฟเบิร์ดแบบมีขอบตา รอบดวงตาจะเป็นสีขาว
1. Peachfaced Lovebird
2. Masked Lovebird
3. Fischer Lovebird
4. Blackcheeked Lovebird
5. Nyasa Livebird
6. Madagascar Lovebird
7. Redfaced Lovebird
8. Abyssinian Lovebird
9. Swindern's Lovebird
สายพันธุ์
โดยทั่วไปนิยมแยกนกเลิฟเบิร์ด ออกเป็น 2 ชนิด คือ
ชนิดมีขอบตา (White Eye-ring) และไม่มีขอบตา (Non Eye-ring)
โดยทั่วไปนิยมแยกนกเลิฟเบิร์ด ออกเป็น 2 ชนิด คือ
ชนิดมีขอบตา (White Eye-ring) และไม่มีขอบตา (Non Eye-ring)
นกทั้ง 2 ชนิดแบ่งออกเป็นสายพันธุ์หลักๆ ได้ 9 สายพันธุ์ ดังนี้
ชนิดมีขอบตา (White Eye-ring)
- Personata (Mask Lovebird)
- fischeri (Fischer’s Lovebird)
- Nigrigenis (Black Cheeked Lovebird)
- Lilianae (Nyasa Lovebird)
ชนิดไม่มีขอบตา (Non Eye-ring)
- Roseicollis (Peach Face Lovebird)
- Swindemiana (Black Collared Lovebird)
- Cana (Madagascar LoveBird)
- Taranto (Abyssinian Lovebird)
- Pullaria (Red Face Lovebird)
เลิฟเบิร์ด ที่สามารถพบเห็นได้ในปัจจุบันโดยทั่วๆ ไป ได้แก่
- Personata (Mask Lovebird)
- fischeri (Fischer’s Lovebird)
- Roseicollis (Peach Face Lovebird)
2.การเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด
"เลิฟเบิร์ด" จัดเป็นนกแก้วชนิดหนึ่งที่มีตัวเล็ก มีหลายสายพันธุ์แยกได้เป็นทั้งหมด 9 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและหมู่เกาะมาดากัสการ์ มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ปัจจุบันคนไทยได้นำนกชนิดนี้มาเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงามกันแพร่หลายและสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี, เลิฟเบิร์ดจัดเป็นนกที่มีเสน่ห์, ขี้เล่น จะอยู่กันเป็นคู่ ที่สำคัญ เป็นนกที่มีนิสัยรักเดียวใจเดียวและมีสีสันที่หลากหลาย ในวงการเลี้ยงนกต่างก็ทราบดีว่าเลิฟเบิร์ดขยายพันธุ์ได้ง่ายทำให้เกิดสีใหม่ ๆ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
คุณยุทธนา อิ่มอโนทัย ชาวคลองสาน กรุงเทพมหานคร เป็นคนไทยรายหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสายพันธุ์นกเลิฟเบิร์ด ได้รับการยอมรับจากผู้นิยมเลี้ยงทั้งในและต่างประเทศปัจจุบันมีพ่อ-แม่พันธุ์นกเลิฟเบิร์ดประมาณ 700 คู่ การเลี้ยงในระบบโรงเรือนปิด ป้องกันเชื้อโรคทั้งจากยุง นกหรือแมลงต่าง ๆ จากภายนอก จัดเป็นแหล่งเลี้ยงนกที่มีการจัดการและความสะอาดได้มาตรฐานทีเดียว
คุณยุทธนายังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการผสมพันธุ์นกเลิฟเบิร์ดว่า นกที่จะใช้เป็นพ่อ-แม่พันธุ์ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี วิธีการดูนกเพศผู้และเพศเมียให้สังเกตดังนี้ ถ้าดูจากลักษณะภายนอก ตัวเมียจะค่อนข้างโตกว่าตัวผู้ แต่สีสันของตัวผู้จะเด่นชัดและสวยกว่าตัวเมีย ใช้วิธีจับตะเกียบ ตัวเมียตะเกียบจะห่าง ๆ และไม่ค่อยแหลม ส่วนตัวผู้ตะเกียบจะชิดกันและค่อนข้างแหลม เมื่อเราได้พ่อ-แม่พันธุ์แล้วทดลองจับนกทั้ง 2 ตัวใส่ในกรงเพาะที่ได้เตรียมไว้พร้อมกับรังไข่ ถ้าปรากฏว่านกยืนคู่กันและเข้าไปในรังไข่แสดงว่านกเข้าคู่กันแล้ว
นกเลิฟเบิร์ดที่เพาะขยายพันธุ์และนิยมเลี้ยงในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ไม่มีขอบตาและมีขอบตา แรกเริ่มจะมีสีอยู่ 2 กลุ่มคือ นกกลุ่มสีเขียวและนกกลุ่มสีฟ้า ปัจจุบันนกกลุ่มสีเขียวได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ไปจนกระทั่งเป็นนกสีเหลือง ส่วนสีบริเวณหน้านกจะเป็นสีแดงในช่วงแรกและถูกพัฒนาจนกระทั่ง เป็นหน้าสีส้ม ส่วนนกกลุ่มสีฟ้าจะถูกพัฒนาไปจนกระทั่งเป็นนกสีม่วงและสีหน้าของนกกลุ่มนี้จากเดิมจะเป็นสีปูน (สีขาวหม่น ๆ ออกสีส้มจาง ๆ บริเวณหน้าผาก) ได้ถูกพัฒนาพันธุ์เป็นนกหน้าขาว นกเลิฟเบิร์ดในแต่ละสายพันธุ์อาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปราคาซื้อ-ขายนกเลิฟเบิร์ดจะถูกหรือแพงคงหนีไม่พ้นเรื่องสี อย่างกรณีของ นกขอบตาหนา เซเบอร์พายด์ม่วง (โดมิแนนท์) จะมีราคาสูงมาก เนื่องจากยังไม่มีใครมี อย่างไรก็ตามปัจจัยในการตั้งราคาจะขึ้นอยู่กับความต้องการในตลาดมากกว่า ถ้าตลาดมีความต้องการสูง ราคาจะแพง.
สถานที่ที่ใช้เลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดควรเป็นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อบทึบ ป้องกันฝนได้ดี แดดสามารถส่องถึงบ้างเล็กน้อย จะเป็นการดี ส่วนลักษณะของกรงที่ดีควรจะ เป็นแบบโรงเรือน กรุด้วยตาข่ายตาถี่ เพื่อป้องกันยุงและแมลงอื่นๆ ภายในจัดวางกรงเพาะเป็นชั้น ๆ และเป็นแถวอย่างมีระเบียบ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการเรื่องความสะอาด
1. กรงเพาะขนาด กว้าง x ยาว x สูง เท่ากับ 21" x 32" x 22"
2. รังฟักสำหรับให้นกเข้าไปวางไข่ และเลี้ยงดูลูกนกจนโต ขนาดโดยประมาณ 7" x 12" x 7" ด้านหนึ่งเจาะรู ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2" สำหรับเป็นทางเข้าออกของนก อีกด้าน ทำเป็นประตูสำหรับ ผู้เลี้ยงสามารถเปิดดู ไข่และลูกนกได้สะดวก
3. อาหารนก ได้แก่ เมล็ดธัญพืชต่างๆ เช่น มิลเลต ข้าวไรน์ ข้าวเปลือกมะเขือ ฮวยมั้ง (เมล็ดกัญชา) เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต เป็นต้น ส่วน อาหารเสริม ได้แก่ขนมปังแผ่น ข้าวโพดดิบ ส่วนแคลเซียมมี กระดองปลาหมึก หญ้าขน ใบกระถิน 2 อย่างหลัง สามารถให้ได้ทุกวัน ซึ่งจะดีต่อนกมาก
4. น้ำ ควรเป็นน้ำที่สะอาด จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกวัน และควรผสมวิตามินให้นกได้กินเป็นประจำด้วย
1. โรคหวัด เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน นกจะซึม ขนพอง ไม่กินอาหาร ไม่ร่าเริง
2. โรคตาแข็ง ตาแดง มีหลายสาเหตุ คือยุงเป็นพาหะนำเชื้อมาสู่นก และฝุ่นละออง มาจากถาดรองมูลนก เวลานกบิน ฝุ่นจะเข้าตาได้ ทำให้เกิดอาการ ระคายเคือง จนตาแดง ตาเจ็บได้
3. การรักษา ไม่ว่านกจะมีอาการหรือเป็นโรคอะไรที่ผิดปกติ ผู้เลี้ยงควรแยกนกออกจากโรงเรือนโดยด่วน จากนั้นก็แยกไว้ตัวเดียว และทำการรักษา โดยให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะอาการนั้น
4. เกร็ดอื่นๆ เมื่อจำเป็นต้องนำนกใหม่เข้ากรง อย่าได้นำเข้าภายในโรงเรือนด็ดขาด ควรแยกไว้ต่างหากเพื่อดูอาการ ให้ยาฆ่าเชื้อโดยผสมในน้ำให้นกกิน แล้วเลี้ยงตามปกติ เพื่อดูอาการสัก 15 วัน ถ้านกปกติดี แข็งแรง ร่าเริง ก็สามารถเอาเข้าโรงเรือนได้ นกเลิฟเบิร์ดสามารถเลี้ยงและฝึกให้ฉลาดได้ โดยต้องเลี้ยงตั้งแต่ นกอายุประมาณ 2 สัปดาห์ ใช้เวลาอยู่กับนกของเรามากๆ ป้อนอาหาร 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น และในแต่ละมื้อ เวลาให้อาหาร ให้นำนกไปวางไว้ในระยะห่างจากตัวเราสักเล็กน้อย แล้วเคาะเรียกหรือผิวปากเรียก เมื่อนกเดินมาหาค่อยป้อนอาหาร ทำเช่นนี้ทุกมื้อ ทุกวัน จนนกเคยชิน และเพื่มระยะห่างเรื่อยๆ เมื่อนกโต ขนขึ้นเต็ม นกจะบินมาหาแทนการเดิน เมื่อนกบินคงที่ ไม่ว่าเวลาไหนเมื่อผู้เลี้ยงผิวปาก หรือเคาะนกจะบินมาทางผู้เลี้ยงทันที ทั้งนี้ ในตำราบางเล่ม เกี่ยวกับนกเลิฟเบิร์ดของต่างประเทศ เคยเขียนไว้ว่านกเลิฟเบิร์ดสามารถพูดได้ด้วย
3.อาหารนกเลิฟเบิร์ด
ด้วยเพราะนกเลิฟเบิร์ดเป็นนกที่อยู่ในป่าแถบอบอุ่นหรือค่อนข้างร้อน อาหารของมันมันจึงได้แก่เมล็ดพืชต่างๆ เช่น มิลเล็ต เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต ข้านไรน์ ผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล เชอร์รี่ รวมทั้งใบหญ้าขนอ่อน ใบกระถิน และใส้ในหญ้า นกชนิดนี้กินเป็นอาหารได้ (ไม่น้า!!!~ ใครมันกล้ากินนกที่น่ารักขนาดนี้ด้าย~ โหดร้าย...ฮือฮือT^T)
ลักษณะนิสัย
เลิฟเบิร์ดจะเป็นนกที่ดูสนุกสนานร่าเริง ดูมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ จะส่งเสียงร้องอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม
4. การเลือกซื้อ-นกเลิฟเบิร์ด
ในกรณีที่เลี้ยงไว้ดูเล่นเพื่อความเพลิดเพลินจะต้องรู้จักสายพันธุ์อย่างที่ ยกตัวอย่างมาแล้ว คือ มีขอบตาและไม่มีขอบตา โดย ทั่วไปอุปนิสัยของ Lovebirds จะชอบอยู่เป็นคู่ ร่าเริง สดใส ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วตลอดเวลา ว่ากันว่าเมื่อเติบโตเต็มที่ เลิฟเบิร์ดจะหาคู่ของตัวเอง และเมื่อพบคู่แล้ว จะครองรักไปจนกว่าคู่ของตนจะตายจากไป บ้างว่าบางตัวถึงขั้นตรอมใจตายตามจริงเท็จเช่นไรไม่อาจรู้ได้ จนกระทั่งได้มาพบกับเลิฟเบิร์ดตัวจริง และได้เห็นภาพของการดูแลถ้อยทีถ้อยอาศัย “Mally Lovebird” (มอลลี่ เลิฟเบิร์ด) คือฟาร์มนกเลิฟเบิร์ดขนาดกลาง สอบถาม คุณเกรียงไกร แม้นเหมือน เจ้าของฟาร์มผู้มีประสบการณ์เลี้ยงนกมากว่า 3 ปี บอกเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ทำให้นกชนิดนี้เป็นที่สนใจของผู้เลี้ยงคือ สี ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ สร้างสีสันขึ้นมาอวดโฉม จนกลายเป็นเทรนด์สีที่ตลาดต้องการ ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนไปในแต่ละปีจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงนกชนิดนี้ คุณเกรียงไกรว่า มาจากความรักสัตว์ และเมื่อคิดสร้างอาชีพเสริม จึงมองไปยังสัตว์เลี้ยงก่อนแม้เริ่มต้นวางแผนกับการเลี้ยงปลาสวยงาม สร้างบ่อเตรียมไว้รองรับ รวมถึงซื้ออุปกรณ์บางชิ้นมาตระเตรียม แต่ด้วยพื้นที่มีปัญหาน้ำ จึงต้องล้มเลิกไป จนกระทั่งหันมาให้ความสนใจเลิฟเบิร์ด เพราะหุ้นส่วนเคยเลี้ยงจำหน่ายมาก่อนการลงทุนทั้งโรงเรือน และองค์ความรู้ใหม่ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาสายพันธุ์ เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม ทั้งเดินทางไปตามฟาร์มเลิฟเบิร์ดศึกษาจากผู้เลี้ยงโดยตรง และเปิดโลกโซเชียล ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มผู้เลี้ยงจัดตั้งเฟซบุ๊กเพื่อเป็นกระบอกเสียงแนะนำให้ความรู้“แม้หุ้นส่วนจะมีองค์ความรู้มาก่อน แต่ก็หยุดธุรกิจไปสักพักหนึ่งแล้ว ในขณะการเลี้ยงจำหน่ายนกชนิดนี้มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่อง อย่างการพัฒนาสายพันธุ์ เราจึงต้องหันมาศึกษาอีกครั้ง ทั้งระบบดูแล ให้อาหาร เรียนรู้วิธีผสมสี เพราะนกชนิดนี้มีจุดขายคือ สี อย่างในปีที่แล้วมาจนถึงตอนนี้สีที่ได้รับความนิยมคือ เยลโล่ เฟส (W/F)”พื้นที่เช่าทำโรงเรือนขนาดประมาณ 80-100 ตารางเมตร กับค่าก่อสร้างราว 200,000 บาท ซึ่งในส่วนของโรงเรือนเป็นลักษณะโอเพ่นแอร์ แต่ทว่าต้องกรุด้วยตาข่ายตาถี่ เพื่อป้องกันศัตรูของนก อย่าง หนู งู เป็นต้น
ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และควรหลีกเลี่ยงที่ที่มีลมโกรกรุนแรง หรือแดดจัดเกินไป ฝนสาดเข้ามาโดนได้ แล้วล้อมรอบด้วยมุ้งลวดอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันยุงและแมลง และควรระวังศัตรูธรรมชาติของนก เช่น แมว หรือหนูด้วยการล้อมรอบโรงเรือนด้วยตาข่าย ภายในโรงเรือนควขายรติดสปริงเกิลเพื่อความเย็นสบายของนกและกระเบื้องมุงหลังคา ควรสลับกับกระเบื้องแผ่นใสเพื่อให้โรงเรือนมีแสงส่องสว่างด้วย
ลักษณะนกเลิฟเบิร์ดที่ดี
เราสามารถดูลักษณะ Lovebirds ที่ดีได้จากรูปร่างภายนอก นั่นก็คือ ขนจะต้องเงางาม ตามีแวว สดใส ปาก ขา เล็บ ไม่ขาด ไม่แหว่ง หรือกุด ดูร่าเริง มีอาการตอบโต้ ไม่ซึม หรือยืนพองขน ส่วนเรื่องเพศของนก Lovebirds จะดูได้จากภายนอกค่อนข้างยาก แต่ก็มีวิธีดู โดยต้องจับตัวนกแล้วพลิกหงายท้อง จากนั้นจับตะเกียบหรือ กระดูกเชิงกราน ตรงส่วนท้ายที่ติดกับโคนหาง แล้วใช้นิ้วมือคลำเบา ๆ ซึ่งกระดูกเชิงกรานจะเป็นกระดูก 2 ชิ้น คู่กัน - เพศผู้กระดูกส่วนนี้จะชิดกัน และแข็ง นูนขึ้นมามาก - เพศเมีย จะค่อนข้างห่างและอ่อน
อายุของนกที่เหมาะสมในการซื้อมาเลี้ยง
ควรจะเลือกนกที่อายุยังน้อย ประมาณ 3 - 4 เดือน เนื่องจากนกที่มีอายุมาก มักจะก่อให้เกิดปัญหา หลาย ๆอย่าง เช่น มีความก้าวร้าว เมื่อนำมารวมกับตัวอื่นก็มักจะจิกตีกัน ส่วนอีกข้อคือ นกที่เจ้าของเก่าปลดทิ้ง เนื่องจากแก่เกินไป นกมีปัญหา ก็จะอยู่กับเราได้ไม่นาน
การเลี้ยงดู
ควรจะเลี้ยง Lovebirds ไว้เป็นคู่ ภายในกรงขนาด กว้าง x ยาว x สูง เท่ากับ 18" x 15" x 15" หรือกรง "หมอนเล็ก" โดยประมาณ
ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ
ควรหลีกเลี่ยงร้านค้าที่มีสัตว์เลี้ยงหลาย ๆ ชนิด รวมกันมาก ๆ และอยู่ปะปนกับ Lovebirds เพราะนกอาจจะติดเชื้อจากสัตว์เหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกซื้อจากฟาร์ม Lovebirds โดยตรง หรือร้านค้าที่มีการจัดสรรที่ดี แยกสัตว์แต่ละชนิดเป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกัน และที่สำคัญ คือ ควรพิจารณาดูภายในกรง ที่ใส่น้ำ อาหาร รวมถึงถาดรองมูลนกให้สะอาดพอสมควร
ลักษณะนกเลิฟเบิร์ดที่ดี
เราสามารถดูลักษณะ Lovebirds ที่ดีได้จากรูปร่างภายนอก นั่นก็คือ ขนจะต้องเงางาม ตามีแวว สดใส ปาก ขา เล็บ ไม่ขาด ไม่แหว่ง หรือกุด ดูร่าเริง มีอาการตอบโต้ ไม่ซึม หรือยืนพองขน ส่วนเรื่องเพศของนก Lovebirds จะดูได้จากภายนอกค่อนข้างยาก แต่ก็มีวิธีดู โดยต้องจับตัวนกแล้วพลิกหงายท้อง จากนั้นจับตะเกียบหรือ กระดูกเชิงกราน ตรงส่วนท้ายที่ติดกับโคนหาง แล้วใช้นิ้วมือคลำเบา ๆ ซึ่งกระดูกเชิงกรานจะเป็นกระดูก 2 ชิ้น คู่กัน - เพศผู้กระดูกส่วนนี้จะชิดกัน และแข็ง นูนขึ้นมามาก - เพศเมีย จะค่อนข้างห่างและอ่อน
อายุของนกที่เหมาะสมในการซื้อมาเลี้ยง
ควรจะเลือกนกที่อายุยังน้อย ประมาณ 3 - 4 เดือน เนื่องจากนกที่มีอายุมาก มักจะก่อให้เกิดปัญหา หลาย ๆอย่าง เช่น มีความก้าวร้าว เมื่อนำมารวมกับตัวอื่นก็มักจะจิกตีกัน ส่วนอีกข้อคือ นกที่เจ้าของเก่าปลดทิ้ง เนื่องจากแก่เกินไป นกมีปัญหา ก็จะอยู่กับเราได้ไม่นาน
การเลี้ยงดู
ควรจะเลี้ยง Lovebirds ไว้เป็นคู่ ภายในกรงขนาด กว้าง x ยาว x สูง เท่ากับ 18" x 15" x 15" หรือกรง "หมอนเล็ก" โดยประมาณ
ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ
ควรหลีกเลี่ยงร้านค้าที่มีสัตว์เลี้ยงหลาย ๆ ชนิด รวมกันมาก ๆ และอยู่ปะปนกับ Lovebirds เพราะนกอาจจะติดเชื้อจากสัตว์เหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกซื้อจากฟาร์ม Lovebirds โดยตรง หรือร้านค้าที่มีการจัดสรรที่ดี แยกสัตว์แต่ละชนิดเป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกัน และที่สำคัญ คือ ควรพิจารณาดูภายในกรง ที่ใส่น้ำ อาหาร รวมถึงถาดรองมูลนกให้สะอาดพอสมควร
5.นกเลิฟเบิร์ด นกสวยงามที่เป็นที่นิยมมาก

ทำเพจน่ารักมากครับ @
ตอบลบสาวกเลิฟเบริ์ด
ได้ความรู้เพิ่มเติมดีมาก..มีประโยชน์สำหรับมือใหม่เป็นอย่างยิ่ง ขอคงความดีเช่นนี้ตลอดไปนะครับ
ตอบลบถ้าน้องอุจจาระเปนสีดำออกเขียวน้องเปนอะไรรึป่าวค่ะ
ตอบลบ